บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ทำไม ไม่เชื่อเรื่องเด็กระลึกชาติ





ในบทความชุดนี้ จำนวน 9 บทความ ผมได้นำเสนอไปว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง  พอดีไปพบกระทู้ที่คนอยากจะรู้เหตุผลว่า “ทำไม ไม่เชื่อเรื่องเด็กระลึกชาติ” ในห้องหว้ากอ ของเว็บพันธุ์ทิพย์ เลยเอามาวิพากษ์วิจารณ์ไว้ในบล็อกนี้

ชื่อของกระทู้ และเนื้อหาของกระทู้ดังกล่าวมีสั้นๆ ดังนี้

เด็กระลึกชาติได้ก็มีมากมายทำไมถึงไม่เชื่อ?

มีเหตุย่อมมีผล หากตัวคุณยังรับผลไม่หมดในชาตินี้แล้ว ตายซะก่อน ยังไงคุณต้องมารับผลในชาติหน้า เหตุจะหายไปเฉยๆ ไม่ได้ เหมือนอนุภาคกับปฏิอนุภาคที่ต้องทำลายล้างกันไปให้เป็นศูนย์

ฉันใดก็ฉันเพล คิดยังไงก็เป็นตรรกะที่สมบูรณ์แบบในตัวของมันเอง ถ้าไม่เห็นแสดงว่ามีกรรมบังตา

หลักฐาน: เด็กระลึกชาติทั่วโลก

อันที่จริงแล้วกระทู้นี้ ชื่อของมันก็ OK อยู่ แต่คำอธิบายกระทู้ของมันก็มั่วเสียเหลือเกิน  

มาวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นกันเลย ดูซิว่า คนที่มาให้ความคิดเห็นในห้องหว้ากอ มันจะสมองหมา ปัญญาควายเหมือนในห้องศาสนาหรือไม่

ความคิดเห็นที่ 2

ผมไม่เคยเห็นเด็กระลึกชาติคนไหนประสบความสำเร็จจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกเลยครับ ถ้าระลึกชาติได้จริง

ทำไม ไม่เอาความรู้ความสามารถของชาติที่แล้วมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่มนุษยชาติล่ะครับ?

ความคิดเห็นนี้ เข้าข่ายสมองหมา ปัญญาควาย.... 

คนให้ความคิดเห็นมันไม่เชื่อ มันก็เลยพยายามหาเหตุผลที่จะมาสนับสนุนความไม่เชื่อของมัน  แต่ความที่มันโง่  เหตุผลที่มันเสนอมา จึงเป็นเรื่องโง่ๆ ของไอ้พวกโง่

การที่เด็กระลึกชาติได้” กับ “การประสบความสำเร็จในชีวิต” มันไม่ได้เกี่ยวกัน  ถ้ามันเห็นว่า ทั้ง 2 เรื่องเกี่ยวข้องกัน มันก็ต้องอธิบายให้ได้เสียก่อน

อันที่จริงแล้ว  ยังมีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถทำอะไรได้อย่างมหัศจรรย์แบบไม่เคยฝึก ไม่เคยเรียนมาก่อน  และวิทยาศาสตร์ก็มึนอธิบายไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

แต่เด็กพวกนี้ ระลึกชาติไม่ได้

ผมขอยกตัวอย่างของเด็กหญิง Amira Willighagen อายุ 9 ปี ตอนที่เข้าแข่ง Holland's Got Talent  2013 กับ เด็กหญิง Connie Talbot อายุ 6 ปี ตอนที่เข้าแข่ง Britain's Got Talent 2007  เด็กหญิงทั้ง 2 คนนั้น ได้รับรางวัลชนะเลิศทั้งคู่ ตอนนี้ก็ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว

เด็กหญิง Amira Willighagen นั้น ไม่เคยฝึกร้องเพลง Opera มาก่อนเลย เมื่อจะมาเข้าแข่งขันก็เปิด youtube ดู เห็นเพลงเพราะดี ก็เอามาร้องแข่งขัน

ตอนนี้ กรรมการถามว่า “ไปเรียนกับใคร” Amira Willighagen ก็งงๆ เพราะ ไม่ได้เรียนกับใครมาเลย  ไปดูวิดิโอของเด็กทั้งคู่ด้านบน  สนใจก็ดูวิดิโออื่นๆ ได้ใน youtube

ความคิดเห็นที่ 3

รู้ความแตกต่างของการท่องจำ กับ เข้าใจไหมครับ

ระลึกชาติ มันไม่ใช่แค่บอกรายละเอียดของชาติก่อนได้ มันต้องเอาความรู้จากชาติก่อนมาใช้ได้

เอาเด็กระลึกชาติ มาทำข้อสอบตามระดับการศึกษาของชาติที่แล้วดู ถ้าทำไม่ได้ ก็แค่ปาหี่แหกตา หลอกคนไร้ปัญญาได้เท่านั้นแหล่ะครับ

ไอ้นี่ก็สมองหมา ปัญญาควายเพราะความไม่เชื่ออีกคนหนึ่ง   มันไปเอาเกณฑ์มาจากไหนที่ว่า “ระลึกชาติ มันไม่ใช่แค่บอกรายละเอียดของชาติก่อนได้ มันต้องเอาความรู้จากชาติก่อนมาใช้ได้

มันไม่เชื่อเรื่องนี้ เสือกไปตั้งเกณฑ์แบบแปลกประหลาดมาอีก

ความคิดเห็นที่ 5

รู้ได้ไงว่าเป็นระลึกชาติ อาจจะเป็น
1 ประสาทหลอน
2 ผีเข้า

ไอ้นี่ ยังสมองหมา ปัญญาควายสุดๆ มันไม่เชื่อ และมันไม่ได้ศึกษาด้วย เดาไปใหญ่โต 

เรื่องการระลึกชาตินี้ นักจิตวิทยาเขาศึกษากันอย่างเป็นวิทยาศาสตร์  ผู้ศึกษาที่มีชื่อเสียงมากๆ ก็เช่น ดร. เอียน สตีเวนสั้น  ดร. ไบรอัน ไวสส์  เป็นงานการศึกษาที่ยอมรับกันในทางวิชาการ

ตรงนี้ตรงอธิบายว่า วิทยาศาสตร์มันมีหลายสาขามาก  สาขาหนึ่งยอมรับในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง สาขาอื่นๆ เขาอาจจะไม่ยอมรับก็ได้

นักวิทยาศาสตร์จริงๆ ถึงจะไม่ยอมรับ แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธออกมา เพราะ ไม่ใช่สาขาที่เขาเชี่ยวชาญอยู่ ไอ้ที่ปฏิเสธแบบสมองหมา ปัญญาควายแบบในเว็บพันธุ์ทิพย์มันเป็นพวก “เศษวิทยาศาสตร์

ความคิดเห็นที่ 7

ไม่ใช่ประสาทหลอน ผีเข้า มายากล หรือโกหก ถ้าโกหกจะตามไปบ้านเดิมถูกได้ไง? ย้ำ ถ้าโกหกจะตามไปบ้านเดิมถูกได้ไง?

ความคิดเห็นที่ 7-2

แล้วรู้ได้ยังไงว่าไม่ได้เตี๊ยมกันมา แล้วรู้ได้ยังไงว่าเป็นบ้านเดิมแน่ๆ?

ความคิดเห็นที่ 7  เป็นเจ้าของกระทู้ พยายามมาปกป้องแนวคิดของตัวเอง  ส่วนความคิดเห็นที่ 7-2 มันก็เป็นพวกสมองหมา ปัญญาควายสุดๆ อีกคนหนึ่ง

เด็กที่ระลึกชาติได้นั้น ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่อายุประมาณ 2-3 ขวบ  โตๆ ขึ้นก็จะลืมเรื่องนี้ไป 

จากการอ่านหนังสือกรณีที่เด็กระลึกชาติได้มาหลายเล่ม เด็กอายุ 2-3 ขวบนั้น จะให้เตี๊ยมอย่างไรก็ทำไม่ได้  

ส่วนใหญ่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องเตี๊ยมกันด้วย  พ่อแม่ในชาติปัจจุบันไม่อยากทำเสียด้วย แต่ทนการรบเร้าของเด็กไม่ได้

โดยสรุป  เรื่องการระลึกชาติจากการศึกษาของนักจิตวิทยา เป็นเรื่องจริงที่ยอมรับได้ เพราะ นักจิตวิทยาเขาก็ศึกษาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์

ไอ้พวกเศษๆ วิทยาศาสตร์ ศึกษาไม่มากนัก แต่มันไม่เชื่อแต่เดิม มันก็หาเหตุผลแบบสมองหมา ปัญญาควายปฏิเสธไปเรื่อยตามความโง่ของมัน

เหตุผลที่มันหามานั้น ไม่ได้เป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักที่น่าเชื่อถือในทางวิชาการ มันคิดอะไรของมันได้ มันเอาพ่นออกมา






วิชาธรรมกาย


ในบทความชุดนี้ ผมเขียนไว้ว่า ผมจะเสนอวิธีพิสูจน์ว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง โดยมีวิธีพิสูจน์ 5 ประการ ดังนี้

1) หลักการพิสูจน์ผิดของคาร์ล ปอปเปอร์
2) หลักการของความน่าจะเป็น
3) พิสูจน์โดยทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์
4) หลักฐานจากพระไตรปิฎก
5) วิชาธรรมกาย

ผมได้นำเสนอไปแล้วตั้งแต่ข้อที่ 1 ถึง ข้อที่ 4  วันนี้จะมากล่าวถึงการพิสูจน์ว่า การเวียนว่ายตายเกิดโดยวิชาธรรมกาย

ในบทความที่ผ่านมา “พระไตรปิฎก” ผมได้นำเสนอไปว่า วิชชา 3 นั้น พระพุทธองค์ทรงอธิบายไว้ และอธิบายไว้ชัดเจนว่า มีการเห็นว่า คนตายแล้วเกิดอย่างไร แต่ละชาติเป็นใคร ฯลฯ

ในบทความนี้ จึงจะนำวิธีปฏิบัติวิชชา 3 มาอธิบายว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร โดยจะนำมาจากหนังสือมรรคผลพิสดาร ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ บทบัญญัติที่ 23

ขอให้ผู้อ่านอ่านไปก่อน ถึงแม้จะไม่เข้าใจในรายละเอียดของการปฏิบัติ แต่ข้อให้รู้ว่า วิชาธรรมกายมีตำราสอนไว้

๒๓. วิธีระลึกชาติหนหลังของตนและคนอื่น

อวิชชา แปลว่า ความมืด แปลว่า เครื่องกั้น แปลว่า เครื่องกำบัง

อธิบายว่า สถานที่มืดก็ดี เวลามืดกลางคืนก็ดี ย่อมเป็นที่สะดุ้งหวาดเสียวต่อภัยอันตรายต่างๆ ของผู้ที่อยู่ในที่มืดฉันใด

คนที่ยังมีอวิชชาครอบงำอยู่ ก็ย่อมต้องสะดุ้งหวาดเสียวกลัวต่อภัยคือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ฉันนั้น

จำพวกนี้ กลัวตายแต่ไม่กลัวเกิด

ส่วนวิชชา แปลว่า ความสว่างแจ้ง ตรงข้ามกับอวิชชา ซึ่งแปลว่า ความมืด

อธิบายว่า สถานที่แจ้งที่สว่างก็ดี เวลากลางวันก็ดี ย่อมไม่เป็นที่สะดุ้งหวาดเสียวกลัวต่อภัยอันตรายต่างๆ ฉันใด

ท่านผู้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว ก็ย่อมไม่สะดุ้งกลัวต่อภัยคือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ฉันนั้น

จำพวกนี้ กลัวเกิดแต่ไม่กลัวตาย แล้วก็ไปนิพพาน

การระลึกชาตินั้น ต้องดำเนินตามหลักวิชา ๓ คือ

() ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ รู้จักระลึกชาติหนหลังได้หนึ่ง

อธิบายวิธีระลึกชาติ

ต้องจับเอาหลักตั้งแต่ตัวของเรานั่งหรือนอน ยืน เดิน อยู่บัดนี้เป็นปัจจุบันเป็นต้น ถอยหลังเข้าไปเรื่อย เป็นลำดับเข้าไปทุกทีๆ ดังนี้คือ

เรามาจากไหนจึงมาอยู่ที่นี่ และก่อนมาอยู่ที่นี่น่ะมาจากไหน อายุของเราโตเท่านี้น่ะ มาจากไหน

ก็มาจากเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็ก่อนที่จะเป็นหนุ่มเป็นสาวมาจากไหน มาจากเป็นเด็ก ก่อนเป็นเด็กมาจากไหน มาจากทารก ก่อนเป็นทารกมาจากไหน มาจากเด็กเล็กแดง

ก่อนมาจากเด็กเล็กแดงๆ น่ะมาจากไหน มาจากครรภ์มารดา ก่อนจากครรภ์ของมารดามาจากไหน มาจากตั้งปฏิสนธิวิญญาณ ก่อนตั้งปฏิสนธิวิญญาณมาจากไหน

แล้วก็เอาเห็น จำ คิด รู้ นิ่งแน่นอยู่ในกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ระลึกชาติหนหลังถอยสืบต่อเข้าไป ตั้งแต่ชาติหนึ่ง สองชาติ จนกระทั่งถึงร้อยชาติ พันชาติเป็นต้น

ว่าชาตินั้น เราเกิดเป็นอย่างนั้นๆ มีสุข มีทุกข์ เป็นอย่างนั้นๆ มั่งมีบริบูรณ์เป็นอย่างนั้น หรือขัดสนจนยากอย่างนั้นๆ เป็นต้น

ระลึกให้รู้ความเป็นไปและรู้สุขทุกข์ไปทุกๆ ชาติ แม้จะระลึกชาติของคนอื่น ก็ระลึกเช่นเดียวกัน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น เหมือนกันทุกประการ


โดยสรุปแล้ว 

แต่เดิมมาคนไทยเราเชื่อเรื่อง นรก สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด มาโดยปกติ  พอวิทยาศาสตร์เก่าเข้ามา พุทธวิชาการหันไปเชื่อวิทยาศาสตร์เก่า จึงปฏิเสธเรื่องต่างๆ เหล่านั้น

แต่ปัจจุบันนี้ ฟิสิกส์ใหม่ได้โค่นล้มกฎและทฤษฎีของวิทยาศาสตร์เก่าไปหมดแล้ว

วิทยาศาสตร์เก่าหมดอำนาจที่จะพิพากษาหรือตัดสินว่าองค์ความรู้อื่นๆ เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง

นอกจากนั้นแล้ว องค์ความรู้ฟิสิกส์ใหม่ๆ หลายประการได้สนับสนุนหลักการของทางศาสนาพุทธ เช่น เรื่องเวลา เรื่องอนันตจักรวาล ฯลฯ เป็นต้น

การที่พุทธวิชาการหันไปเชื่อวิทยาศาสตร์เก่าและกลุ่มตนเองมีโอกาสเขียน เผยแพร่แนวคิดของกลุ่มตนมากกว่ากลุ่มอื่น สามารถบังคับให้นักเรียนเรียนตามสิ่งที่ตนเองเขียน เพราะกำหนดลงไปในหลักสูตร

จึงทำให้บุคคลที่ผ่านการศึกษาในระบบโรงเรียนไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด บุญบาป ฯลฯ ไปด้วย 

กลุ่มนี้เมื่อเติบโตเป็นพ่อค้า นักการเมือง ข้าราชการจึงเบียดบังประชาชน โกงกินประเทศกันอย่างมากมายมหาศาล ส่งผลเสียอย่างชัดเจนในยุคนี้

ดังนั้น เราจึงควรศึกษาศาสนาพุทธเสียใหม่ โดยใช้หลักการปรากฏการณ์วิทยา ศึกษาศาสนาพุทธอย่างเป็นตัวของตัวเอง ไม่เอาองค์ความรู้ใดๆ มาปะปน ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์หรือปรัชญาตะวันตก 

ประการสำคัญก็คือ เราจึงควรนำเอานรกสวรรค์การเวียนว่ายตายเกิดกลับมาสอนใหม่ เพราะโดยหลักการแล้วเป็นเรื่องจริงที่ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าผิด…………..




พระไตรปิฎก


ในบทความชุดนี้ ผมเขียนไว้ว่า ผมจะเสนอวิธีพิสูจน์ว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง โดยมีวิธีพิสูจน์ 5 ประการ ดังนี้

1) หลักการพิสูจน์ผิดของคาร์ล ปอปเปอร์
2) หลักการของความน่าจะเป็น
3) พิสูจน์โดยทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์
4) หลักฐานจากพระไตรปิฎก
5) วิชาธรรมกาย

ผมได้นำเสนอไปแล้วตั้งแต่ข้อที่ 1 ถึง ข้อที่ 3   วันนี้จะมากล่าวถึงการพิสูจน์ว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงในพระไตรปิฎก

ในการพิสูจน์ว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริงใน 3 ข้อที่ผ่านมาข้างต้นนั้น  ผมพยายามอธิบายเน้นไปที่การโค่นล้มความเชื่อวิทยาศาสตร์แบบนิวตันที่พุทธวิชาการไปหลงเชื่อกัน  ในการอธิบายจึงเน้นไปที่เรื่องนรก-สวรรค์ เพราะ อธิบายง่าย

ในพระไตรปิฎกนั้น  มีพุทธพจน์เป็นจำนวนมากมายหลายแห่ง ทั้งพระสูตรและพระวินัยได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า มีนรก มีสวรรค์ มีพรหม อรูปพรหม  ไตรภูมิพระร่วงก็เรียบเรียงมาจากคัมภีร์ของศาสนาพุทธ ก็ยึดพระไตรปิฎกเป็นหลัก

ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสอยู่เสมอว่า พระองค์ตรัสแต่ความจริงที่เป็นประโยชน์ ในเมื่อพระองค์ตรัสว่า นรก สวรรค์มีจริง นรกสวรรค์ก็ต้องมีจริงๆ ตามพุทธพจน์ 

พวกพุทธวิชาการที่กล่าวว่า นรกสวรรค์ไม่มีจริง มีไว้เป็นเพียงนโยบายให้คนกระทำความดีเท่านั้น  ก็เป็นการกล่าวตู่พระพุทธพจน์ เพราะไปเชื่อวิทยาศาสตร์เก่ามากกว่า

อย่างไรก็ดี  เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนั้น ในพระไตรปิฎกก็ยังมีข้อความที่บ่งบอกชัดเจนว่ามี และมีอยู่ประเด็นที่สำคัญด้วย คือ อยู่ในวิชชา 3
พระอรหันต์ รวมถึงพระพุทธเจ้าทั้งปวงบรรลุพระอรหันต์ด้วยวิชชา 3 นี้ทุกพระองค์ ไม่มีพระอรหันต์รูปใดที่ไม่ผ่านวิชชา 3

พระไตรปิฎกเขียนไว้ ดังนี้

ทรงบรรลุวิชชา (ญาณ) 3

"เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อ "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ"

เรานั้นย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ เรานั้นย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุทเทส  ด้วยประการฉะนี้.

ราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่ 1 ที่ เราได้บรรลุแล้ว ในปฐมยามแห่งราตรี. อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่.

เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อ "จุตูปปาตญาณ" รู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย

เรานั้นย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพพจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ด้วยประการฉะนี้.

ราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่ 2 ที่เราได้บรรลุแล้ว ในมัชฌิมยามแห่งราตรี. อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่เราผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่.

เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อ "อาสวักขยญาณ" ได้รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ เหล่านี้อาสวสมุทัย เหล่านี้อาสวนิโรธ เหล่านี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา.

เมื่อเรานั้นรู้เห็นอย่างนี้ จิตก็หลุดพ้นแล้ว แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่ 3 ที่อาตมภาพได้บรรลุแล้ว ในปัจฉิมยามแห่งราตรี.  อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่เราผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่.

ราชกุมาร เรานั้นได้มีความคิดเห็นว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้ เป็นธรรมลึก ยากที่จะเห็นได้ สัตว์อื่นจะตรัสรู้ตามได้ยาก เป็นธรรมสงบระงับ ประณีต อันบัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง.  (ม.ม.13/755-757/686-688)

ข้อความที่ผมเน้นสีแดงไว้คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม

ตรงนี้มีประเด็นที่น่าสังเกตก็คือ พวกพุทธวิชาการที่เชื่อไปตามวิทยาศาสตร์เก่า และมีงานวิชาการออกมามากมาย ซึ่งเขียนไปในทำนองว่า คนเราตายแล้วเกิดชาติเดียว นรก สวรรค์ไม่มี บาปบุญไม่มี อิทธิปาฏิหาริย์ไม่มี

การเวียนว่ายตายเกิดไม่มี คนเกิดมาแล้วตายไปตามอุบัติการณ์ทางธรรมชาติ ไม่มีการเกิดใหม่ เพื่อชดใช้หนี้กรรม

พอฟิสิกส์ใหม่โค่นวิทยาศาสตร์เก่าไปแล้ว มีนักวิชาการรุ่นใหม่ๆ มาเขียนเปรียบเทียบศาสนาพุทธกับไอน์สไตน์บ้าง นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ บ้าง  กลุ่มพุทธวิชาการที่เชื่อวิทยาศาสตร์กลับเก็บตัวเงียบ ไม่มีผลงานใหม่ๆ ออกมาเลย

ถ้าจะมีอยู่บ้าง ก็พูดถึงไอน์สไตน์เพราะเรื่องแสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง แต่ไม่กล้าพูดถึงเรื่องเวลาของไอน์สไตน์ เพราะจะไปสนับสนุนเรื่องนรกสวรรค์ หรือเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดที่ตนเองปฏิเสธไปแล้วทั้งชีวิต พุทธวิชาการที่ว่านี้ มีทั้งพระและฆราวาส ลองค้นหาอ่านดู

ตายไปแล้วก็จะพบว่า “นรกมีจริง” เพราะตกไปอยู่ที่นั่น  แล้วก็คงจะรู้ด้วยตนเองว่า สวรรค์ก็น่าจะมีจริง แต่ไม่มีโอกาสได้ขึ้นเท่านั้น...........