บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

“ไตรภูมิพระร่วง” ความเชื่อเดิม

ก่อนหน้าที่ศาสตร์ตะวันตก เช่น วิทยาศาสตร์ ปรัชญา เป็นต้น จะเข้ามีอิทธิพลในประเทศไทยนั้น  จักรวาลทัศน์หรือระบบคิด/ความคิด/ความเชื่อเกี่ยวกับจักรวาลของคนไทยจะยึด ถือไตรภูมิพระร่วงหรือไตรภูมิกถาเป็นองค์ความรู้หลัก

โดยเชื่อว่า ภพภูมิจักรวาลของเรานี้ มี 4 ภูมิหลักคือ กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ และ นิพพาน

อรูปภูมิ  คือ อรูปพรหม 4 ชั้น

รูปภูมิ คือ พรหม 16 ชั้น

กามภูมิ ประกอบด้วย สวรรค์ 6 ชั้น มนุษย์ 1 ชั้น และอบายภูมิอีก 4 คือ นรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน  ที่เรียกว่า กามภูมิเพราะ ความสุขของภูมินี้จะประกอบด้วยกาม

คนไทยจำนวนมากเลยที่เข้าใจผิดไปว่า สวรรค์มี 7 ชั้น เพราะ มีสำนวนภาษาที่เป็นที่ได้ยินกันโดยทั่วไปว่า สวรรค์ชั้น 7” 

คำว่า สวรรค์ชั้น 7ความหมายสื่อไปถึงทำนองความสุขที่ได้จากการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งสวรรค์และมนุษย์มีเหมือนกัน จึงรวมเรียกเอาสวรรค์ 6 ชั้น มนุษย์ 1 ชั้นไปรวมกัน กลายเป็นสำนวน สวรรค์ชั้น 7ขึ้นมา

การนับรวมสำหรับอบายภูมิ 4 คือ นรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉานนั้น เป็นสภาวะที่สัตว์เหล่านั้นชดใช้กรรมมีได้กระทำมาในระหว่างที่เป็นมนุษย์ จึงได้นับรวมเอาไว้กับกามภูมินี้ด้วย

กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิถือว่าเป็นฝ่ายโลกียะ เป็นสังขตธรรม ยังประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง ใจ/จิต/วิญญาณของสัตว์ 

สัตว์ต่างๆ เหล่านั้น รวมถึงมนุษย์ด้วย ก็จะเวียนว่ายตายเกิดอยู่นับภพนับชาติไม่ถ้วน แบบจินตนาการไม่ได้เลยทีเดียว

เมื่อไหร่ก็ตามมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้และโปรดสัตว์ ก็จะมนุษย์จำนวนหนึ่งสามารถปฏิบัติตาม และจะบรรลุพระอรหันต์ไปอุบัติอยู่ในนิพพานไม่ต้องลงมาเวียนว่ายตายเกิดอีก กลายเป็นฝ่ายโลกุตระไป

ความเชื่อต่างๆ เหล่านี้ พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ เชื่อถือว่าเป็นควมจริงมานานแล้ว ไม่มีใครสงสัยว่า “ไม่เป็นจริง

อาจจะมีบ้างเป็นบางส่วน แต่เป็นจำนวนน้อยมากที่ไม่รู้จักพระ ไม่รู้จักศาสนา ไม่รู้จักบาปกรรม ที่โต้แย้งว่า นรกไม่มี บุญบาปไม่มี 

แต่พวกนี้ก็โต้แย้งเฉพาะตัว คือ ไม่ได้ออกไปเผยแพร่แนวความคิดของตนเอง ดังนั้น บางกลุ่มบางพวกกระทำอยู่ในปัจจุบัน

เมื่อวิทยาศาสตร์กับปรัชญาตะวันตกเข้ามากับสนธิสัญญาบาวริ่ง (Bowring treaty) เมื่อ พ.ศ. 2398 ในตอนต้นของรัชกาลที่ 4  ความเป็นเหตุเป็นผล (Rationality) อันเป็นพื้นฐานในการหาความรู้ความจริงของวิชาทั้งสองได้รับความนิยมและโด่ง ดังมาก

นักวิชาการชาวไทยที่สนใจเรื่องศาสนาเกือบทั้งหมด ซึ่งในบทความนี้จะเรียกว่า พุทธวิชาการหันไปสมาทาน ไปเชื่อถือ และมองว่า เนื้อหาคำสอนในพระไตรปิฎกจำนวนมากไม่มีความเป็นเหตุเป็นผล (Irrationality)

จึงมีการตีความพระไตรปิฎกเสียใหม่เพื่อให้เข้ากับวิทยาศาสตร์และปรัชญาตะวัน ตก

เนื้อหาคำสอนในพระไตรปิฎกที่พุทธวิชาการเห็นว่า ไม่มีความเป็นเหตุเป็นผล (Irrationality) ก็เช่น อิทธิปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า สวรรค์ นรก ฯลฯ เป็นต้น จึงถูกตีความใหม่แตกต่างไปจากไตรภูมิพระร่วง ในบางกรณีก็ถูกขจัดออกไป หรือถูกกล่าวหาว่าไม่มีในพระไตรปิฎก

สาเหตุหลักที่มีพุทธวิชาการเข้าไปสมาทานความรู้ของศาสตร์ตะวันตกโดยเฉพาะ อย่างยิ่งวิทยาศาสตร์นั้น เพราะนักวิทยาศาสตร์เข้าใจผิดไปว่า องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของตนพัฒนาเข้าไปถึงขั้นสูงสุดแล้ว ในทางฟิสิกส์นักวิทยาศาสตร์ถึงกับพูดว่า ความรู้หลักๆ ค้นพบหมดแล้ว เหลือแต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

ศาสตร์ศาสตร์ตะวันตกดังกล่าวนั้นไม่ได้มีเพียงองค์ความรู้เดียว ทั้งวิทยาศาสตร์นั้นแบ่งได้เป็น 2 ยุค แต่ละยุคก็มีหลายทฤษฎี ยิ่งปรัชญาตะวันตกนั้น ยิ่งมีหลากหลายทฤษฎีมากไปกว่าทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เสียอีก

อย่างไรก็ดี นักวิชาการนิยมแบ่งยุคของวิชาการออกเป็น 2 ยุค คือ ตั้งแต่ พ.ศ. 2398 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ องค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์และปรัชญาตะวันตกถูกจัดให้อยู่ในยุค สมัยใหม่” (Modern)

ใน 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา ฟิสิกส์ใหม่กับปรัชญาได้มีการปรับเปลี่ยนแนวในการศึกษาไป องค์ความรู้ของฟิสิกส์ใหม่กับปรัชญาที่ว่านี้ ได้รับการจัดยุคว่าเป็นยุค หลังสมัยใหม่” (post modern)

การที่จะกำหนดให้ว่า วันใดปีใดเป็นจุดตั้งต้นของยุคหลังสมัยใหม่นั้น นักวิชาการยังหาข้อยุติไม่ได้ บางท่านกล่าวว่า ยุคหลังสมัยใหม่ก็เกิดมาพร้อมกับยุคสมัยใหม่

เมื่อมีการเปลี่ยนยุคมาแล้ว ทฤษฎีความรู้ของยุคหลังสมัยใหม่ (postmodern) ได้โค่นล้มองค์ความรู้ของยุคสมัยใหม่ (Modern) ไปเกือบหมด

ยกตัวอย่างเช่น ทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Relative theory) ของไอน์สไตน์ กับกลศาสตร์ควอนตัม (Quantum mechanic) ของมักซ์ พลังค์ (Max Plank) ได้โค่นล้มทฤษฎีแรงโน้มถ่วงและทฤษฎีเวลาของนิวตัน (Newton) เป็นต้น

การโค่นล้มทฤษฎีดังกล่าว ก็คือการโค่นล้มระบบความเป็นเหตุเป็นผล (Rationality) ของวิทยาศาสตร์แบบนิวตันลงไปด้วย

องค์ความรู้ยุคหลังสมัยใหม่หรือฟิสิกส์ใหม่มีแนวความความคิด/ความเชื่อหลายประการ ซึ่งเมื่อนักวิทยาศาสตร์ของฟิสิกส์ใหม่เสนอแนวคิดมาในระยะแรก นักวิทยาศาสตร์แบบนิวตันไม่ยอมรับว่าเป็นความจริง (Truth) แต่ก็ต้องมายอมรับในระยะหลังๆ เมื่อมีผลการศึกษาค้นคว้าออกมายืนยันองค์ความรู้เหล่านั้นว่าเป็นความจริง

องค์ความรู้ต่างๆ เหล่านั้น ก็เช่น

- แสงเดินทางไปเส้นโค้ง

- มิติของจักรวาลมี 4 มิติ คือ ความสูง ความกว้าง ความยาว และเวลา ซึ่งก็หมายถึงว่า เวลาและอากาศไม่ใช่เป็นสิ่งที่แยกออกจากกัน แต่เป็นสิ่งที่ต้องอยู่ด้วยกัน เหมือนด้านหัวและด้านก้อยของเหรียญเดียวกัน จึงมีศัพท์เรียกว่า กาลาวกาศ หรือกาลอวกาศ บ้าง เป็นต้น

มิติของจักรวาลดังกล่าวได้ให้ความรู้ต่อมาว่า เวลาของสถานที่ต่างๆ ต้องไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายๆ ประการเช่น ความเร็ว ระยะห่างจากโลก เป็นต้น

จะเห็นว่า ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเรื่อยมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ของกรุงรัตนโกสินทร์ เรามีความเชื่อเกี่ยวกับนรก สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิดอย่างแน่นแฟ้น

เมื่อฝรั่งพาศาสตร์ของยุคสมัยใหม่เข้ามา พุทธวิชาการหันไปเชื่อ ก็ตีความพระไตรปิฎกใหม่ให้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม เพื่อเข้ากับวิทยาศาสตร์ของตะวันตก

มาจนถึงปัจจุบันนี้ นักวิชาการรู้แล้วว่า วิทยาศาสตร์เก่า มันไม่เป็นจริงอย่างที่ทุกคนยกย่องเชิดชู วิทยาศาสตร์เก่าเป็นเพียงการหาความจริงได้เฉพาะที่แคบๆ เท่านั้น

ดังนั้น ในทางที่ถูกที่ควร เราจึงต้องมีการศึกษาศาสนาพุทธกันใหม่ เอาความรู้ที่ปะปนเปื้อนไปด้วยวิทยาศาสตร์เก่ากับปรัชญาตะวันตกของยุคสมัย ใหม่ออกไป 

แล้วศึกษาพระไตรปิฎกใหม่ด้วยวิธีการของศาสนาพุทธของเราเอง อย่างใจเป็นกลางด้วย หรือพูดให้ง่ายๆ เข้าก็คือ เอาวิทยาศาสตร์เก่าออกไป เอานรก สวรรค์ของเราคืนมา

ในบทความนี้ชุดนี้ จึงจะพิสูจน์อย่างเป็นนักวิชาการของยุคหลังสมัยใหม่ว่า นรก สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิดเป็นจริงอย่างไร โดยจะใช้หลักการของปรากฏการณ์วิทยา (phenomenology) เป็นหลักในการศึกษา เครื่องมือก็จะใช้หลากหลายสาขาดังจะได้กล่าวต่อไป....



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น