บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

วิชาธรรมกาย


ในบทความชุดนี้ ผมเขียนไว้ว่า ผมจะเสนอวิธีพิสูจน์ว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง โดยมีวิธีพิสูจน์ 5 ประการ ดังนี้

1) หลักการพิสูจน์ผิดของคาร์ล ปอปเปอร์
2) หลักการของความน่าจะเป็น
3) พิสูจน์โดยทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์
4) หลักฐานจากพระไตรปิฎก
5) วิชาธรรมกาย

ผมได้นำเสนอไปแล้วตั้งแต่ข้อที่ 1 ถึง ข้อที่ 4  วันนี้จะมากล่าวถึงการพิสูจน์ว่า การเวียนว่ายตายเกิดโดยวิชาธรรมกาย

ในบทความที่ผ่านมา “พระไตรปิฎก” ผมได้นำเสนอไปว่า วิชชา 3 นั้น พระพุทธองค์ทรงอธิบายไว้ และอธิบายไว้ชัดเจนว่า มีการเห็นว่า คนตายแล้วเกิดอย่างไร แต่ละชาติเป็นใคร ฯลฯ

ในบทความนี้ จึงจะนำวิธีปฏิบัติวิชชา 3 มาอธิบายว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร โดยจะนำมาจากหนังสือมรรคผลพิสดาร ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ บทบัญญัติที่ 23

ขอให้ผู้อ่านอ่านไปก่อน ถึงแม้จะไม่เข้าใจในรายละเอียดของการปฏิบัติ แต่ข้อให้รู้ว่า วิชาธรรมกายมีตำราสอนไว้

๒๓. วิธีระลึกชาติหนหลังของตนและคนอื่น

อวิชชา แปลว่า ความมืด แปลว่า เครื่องกั้น แปลว่า เครื่องกำบัง

อธิบายว่า สถานที่มืดก็ดี เวลามืดกลางคืนก็ดี ย่อมเป็นที่สะดุ้งหวาดเสียวต่อภัยอันตรายต่างๆ ของผู้ที่อยู่ในที่มืดฉันใด

คนที่ยังมีอวิชชาครอบงำอยู่ ก็ย่อมต้องสะดุ้งหวาดเสียวกลัวต่อภัยคือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ฉันนั้น

จำพวกนี้ กลัวตายแต่ไม่กลัวเกิด

ส่วนวิชชา แปลว่า ความสว่างแจ้ง ตรงข้ามกับอวิชชา ซึ่งแปลว่า ความมืด

อธิบายว่า สถานที่แจ้งที่สว่างก็ดี เวลากลางวันก็ดี ย่อมไม่เป็นที่สะดุ้งหวาดเสียวกลัวต่อภัยอันตรายต่างๆ ฉันใด

ท่านผู้บรรลุวิชชา ๓ แล้ว ก็ย่อมไม่สะดุ้งกลัวต่อภัยคือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ฉันนั้น

จำพวกนี้ กลัวเกิดแต่ไม่กลัวตาย แล้วก็ไปนิพพาน

การระลึกชาตินั้น ต้องดำเนินตามหลักวิชา ๓ คือ

() ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ รู้จักระลึกชาติหนหลังได้หนึ่ง

อธิบายวิธีระลึกชาติ

ต้องจับเอาหลักตั้งแต่ตัวของเรานั่งหรือนอน ยืน เดิน อยู่บัดนี้เป็นปัจจุบันเป็นต้น ถอยหลังเข้าไปเรื่อย เป็นลำดับเข้าไปทุกทีๆ ดังนี้คือ

เรามาจากไหนจึงมาอยู่ที่นี่ และก่อนมาอยู่ที่นี่น่ะมาจากไหน อายุของเราโตเท่านี้น่ะ มาจากไหน

ก็มาจากเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็ก่อนที่จะเป็นหนุ่มเป็นสาวมาจากไหน มาจากเป็นเด็ก ก่อนเป็นเด็กมาจากไหน มาจากทารก ก่อนเป็นทารกมาจากไหน มาจากเด็กเล็กแดง

ก่อนมาจากเด็กเล็กแดงๆ น่ะมาจากไหน มาจากครรภ์มารดา ก่อนจากครรภ์ของมารดามาจากไหน มาจากตั้งปฏิสนธิวิญญาณ ก่อนตั้งปฏิสนธิวิญญาณมาจากไหน

แล้วก็เอาเห็น จำ คิด รู้ นิ่งแน่นอยู่ในกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ระลึกชาติหนหลังถอยสืบต่อเข้าไป ตั้งแต่ชาติหนึ่ง สองชาติ จนกระทั่งถึงร้อยชาติ พันชาติเป็นต้น

ว่าชาตินั้น เราเกิดเป็นอย่างนั้นๆ มีสุข มีทุกข์ เป็นอย่างนั้นๆ มั่งมีบริบูรณ์เป็นอย่างนั้น หรือขัดสนจนยากอย่างนั้นๆ เป็นต้น

ระลึกให้รู้ความเป็นไปและรู้สุขทุกข์ไปทุกๆ ชาติ แม้จะระลึกชาติของคนอื่น ก็ระลึกเช่นเดียวกัน ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น เหมือนกันทุกประการ


โดยสรุปแล้ว 

แต่เดิมมาคนไทยเราเชื่อเรื่อง นรก สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด มาโดยปกติ  พอวิทยาศาสตร์เก่าเข้ามา พุทธวิชาการหันไปเชื่อวิทยาศาสตร์เก่า จึงปฏิเสธเรื่องต่างๆ เหล่านั้น

แต่ปัจจุบันนี้ ฟิสิกส์ใหม่ได้โค่นล้มกฎและทฤษฎีของวิทยาศาสตร์เก่าไปหมดแล้ว

วิทยาศาสตร์เก่าหมดอำนาจที่จะพิพากษาหรือตัดสินว่าองค์ความรู้อื่นๆ เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง

นอกจากนั้นแล้ว องค์ความรู้ฟิสิกส์ใหม่ๆ หลายประการได้สนับสนุนหลักการของทางศาสนาพุทธ เช่น เรื่องเวลา เรื่องอนันตจักรวาล ฯลฯ เป็นต้น

การที่พุทธวิชาการหันไปเชื่อวิทยาศาสตร์เก่าและกลุ่มตนเองมีโอกาสเขียน เผยแพร่แนวคิดของกลุ่มตนมากกว่ากลุ่มอื่น สามารถบังคับให้นักเรียนเรียนตามสิ่งที่ตนเองเขียน เพราะกำหนดลงไปในหลักสูตร

จึงทำให้บุคคลที่ผ่านการศึกษาในระบบโรงเรียนไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด บุญบาป ฯลฯ ไปด้วย 

กลุ่มนี้เมื่อเติบโตเป็นพ่อค้า นักการเมือง ข้าราชการจึงเบียดบังประชาชน โกงกินประเทศกันอย่างมากมายมหาศาล ส่งผลเสียอย่างชัดเจนในยุคนี้

ดังนั้น เราจึงควรศึกษาศาสนาพุทธเสียใหม่ โดยใช้หลักการปรากฏการณ์วิทยา ศึกษาศาสนาพุทธอย่างเป็นตัวของตัวเอง ไม่เอาองค์ความรู้ใดๆ มาปะปน ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์หรือปรัชญาตะวันตก 

ประการสำคัญก็คือ เราจึงควรนำเอานรกสวรรค์การเวียนว่ายตายเกิดกลับมาสอนใหม่ เพราะโดยหลักการแล้วเป็นเรื่องจริงที่ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าผิด…………..




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น