ในบทความชุดนี้
ผมเขียนไว้ว่า ผมจะเสนอวิธีพิสูจน์ว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง โดยมีวิธีพิสูจน์
5 ประการ ดังนี้
1)
หลักการพิสูจน์ผิดของคาร์ล ปอปเปอร์
2)
หลักการของความน่าจะเป็น
3)
พิสูจน์โดยทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์
4)
หลักฐานจากพระไตรปิฎก
5)
วิชาธรรมกาย
หลักการพิสูจน์ผิดของคาร์ล
ปอปเปอร์ ผมได้นำเสนอไปแล้ว ความน่าจะเป็น
(Probability)
ก็นำเสนอไปแล้ว
ต่อไปก็เป็นการพิสูจน์ว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง โดยทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์
ก่อนอื่นขออธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์คร่าวๆ
เสียก่อน โดยจะเอาความรู้มาจากวิกิพิเดีย สารานุกรมเสรี
ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
เป็นกลุ่มของทฤษฎีทางฟิสิกส์ 2 ทฤษฎี คือ
ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษและทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป
ทฤษฎีทั้งสองนี้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อใช้อธิบายข้อเท็จจริงที่ว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้น
ไม่ได้ประพฤติตนตามกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน
ตรงนี้สรุปได้ว่า
ทฤษฎีสัมพัทธภาพโค่นล้มกฎการเคลื่อนที่ของนิวตันลงไป แต่ไม่ได้หมายความว่า
กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน “ผิด”
กฎการเคลื่อนที่ของนิวตันก็
“ถูก” หรือ “จริง” แต่ถูกเฉพาะในโลกนี้ ในจักรวาลไม่เป็นแบบนั้น คือ
ความจริงของนิวตันเป็นความจริงเฉพาะในโลกนี้ เป็นความจริงที่แคบกว่าความจริงของทฤษฎีสัมพัทธภาพ
สัมพัทธภาพทั่วไป
ทฤษฎีนี้กล่าวถึงสมการหนึ่ง ที่มาแทนที่กฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน
.... ในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ความโน้มถ่วงไม่ได้เป็นแรง
(อย่างในกฎความโน้มถ่วงของนิวตัน) อีกต่อไป แต่เป็นผลจากการโค้งของกาล-อวกาศ (spacetime)
ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเป็นทฤษฎีเชิงเรขาคณิตที่ถือหลักว่า มวลและพลังงานทำให้เกิดการโค้งงอของกาล-อวกาศ
และการโค้งนี้ส่งผลต่อเส้นทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคอิสระรวมทั้งแสง
โดยสรุป
ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ได้โค่นล้มทฤษฎีของนิวตันไปหมด ทฤษฎีของนิวตันเป็นจริงเฉพาะที่เท่านั้น
ไม่ได้เป็นความสากล (General
truth)
ผู้อ่านบางท่านอาจะเริ่มสงสัยแล้วว่า
ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์กับกฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน
มันมาเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดของศาสนาพุทธได้อย่างไร
ขออธิบายแบบนี้
เรื่อง
นรก สวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิดนั้น ตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาจนถึงรัชกาลที่ 3
ของกรุงเทพฯ ไม่มีใครคนใด สงสัยว่าไม่เป็นจริง
พอวิทยาศาสตร์กับปรัชญาเข้ามากับสนธิสัญญาบาวริ่ง
(Bowring
treaty) พุทธวิชาการได้หันไปเชื่อวิทยาศาสตร์เก่ามากกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่องเวลา ตามกฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน
ในศาสนาพุทธนั้น
มีคำสอนที่ว่า เวลาของมนุษย์และสวรรค์ พรหม อรูปพรหมแต่ละชั้นไม่เท่ากัน 1
วันของมนุษย์จะเท่ากับ 50 ปีของสวรรค์ชั้นจาตุมฯ และเท่ากับ 100
ปีของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นต้น
แต่ทฤษฎีของนิวตันกลับยืนยันว่า
เวลาของเอกภพนี้ตรงกัน โลกมนุษย์มีระบบเวลาเช่นใด ดาวพุธก็มีระบบเวลาเช่นนั้น
เมื่อมีระบบความเชื่อใดด้านเวลาไม่เหมือนกัน
แต่พุทธวิชาการหันไปเชื่อระบบเวลาของวิทยาศาสตร์เก่าของนิวตัน
จึงพากันปฏิเสธว่า นรกสวรรค์ไม่มี
เมื่อนรกสวรรค์ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่มี
มนุษย์เกิดมาชาติเดียว ดวงวิญญาณ/ใจ/จิตไม่มี
เมื่อฟิสิกส์ใหม่โค่นล้มวิทยาศาสตร์เก่าไปแล้ว
ฟิสิกส์ใหม่กล่าวว่า เวลาของแต่ละสถานที่ไม่เท่ากันเลย หรือจะกล่าวได้ว่า
เวลาของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากันเลย
นี่เป็นระบบเวลาที่ละเอียดกว่าระบบเวลาของศาสนาพุทธเสียอีก
นอกจากเรื่องของเวลาแล้ว
องค์ความรู้ของฟิสิกส์ในอีกหลายเรื่องก็สอดคล้องกับองค์ความรู้ของพระ ไตรปิฎก เช่น
เรื่องอนันตจักรวาล เป็นต้น
ศาสนาพุทธยืนยันมาเนิ่นนานแล้ว
จักรวาลมิได้มี 1 เดียวแต่มีมากมายนับไม่ถ้วน
ประเด็นนี้ วิทยาศาสตร์เก่าชื่อว่า จักรวาลมี 1 เดียว จึงให้คำศัพท์ว่า universe [แต่คนแปลเป็นภาษาไทยแปลว่าเอกภพ] uni แปลว่า หนึ่ง
ในปัจจุบัน
นักฟิสิกส์ใหม่เชื่อแล้วว่า มีจักรวาล/ภพนับไม่ถ้วน จึงตั้งศัพท์ใหม่ว่า multi-verse บ้าง หรือ multi universe บ้าง
จะเห็นว่า
ระบบเวลาของฟิสิกส์ใหม่สนับสนุนเรื่องระบบเวลาที่ไม่เท่ากันของเรื่องนรก สวรรค์
เมื่อระบบเวลาของนรกสวรรค์ได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริง
ตัวนรกสวรรค์ก็สามารถอนุมาน
(infer)
ได้ว่ามีจริงเป็นไปด้วย
ความเชื่อของพุทธวิชาการที่หันเหไปตามวิทยาศาสตร์เก่าคือ ความเข้าใจผิด
เมื่อนรก
สวรรค์มีจริง การเวียนว่ายตายเกิด
หรือการเวียนตายเวียนเกิดก็ต้องเป็นจริง …..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น