บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ปลอดค่านิยม (Value free)

ก่อนที่จะพิสูจน์ว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงต่อไป ผมขออธิบายข้อบกพร่องอันฉกาจฉกรรจ์ของพุทธวิชาการเสียหน่อย

องค์ประกอบของวิทยาศาสตร์เก่าที่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากก็คือ วิธีการศึกษา ซึ่งมีชื่อเรียกว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method)

วิธีการทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าวเกิดจากการที่นักวิทยาศาสตร์พบปัญหาในทางกายภาพของโลก และอยากจะศึกษา ก็จะต้องตั้งสมมุติฐาน แล้วก็สังเกต สัมภาษณ์ ทดลอง ฯลฯ จนกระทั่งได้ผลออกมา

ส่วนใหญ่คนจะเข้าใจว่าที่กล่าวมาข้างต้นคือ สิ่งที่ทำให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป

แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่

แล้วอะไรก็คือ สิ่งที่ทำให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) เป็นที่ยอมรับ

ก่อนที่จะเฉลย ขอกลับไปยกตัวอย่าง เหตุการณ์สึนามิอีกครั้งหนึ่ง

เหตุการณ์สึนามินี้ ประชาชนในหมู่บ้านของชาวมอร์แกน ซึ่งเป็นชาวน้ำไม่มีใครตายนะครับ 

ในขณะที่ฝรั่งบ้าง ไทยบ้าง จีนบ้าง ไม่รู้เรื่องอะไร ยังยืนดู ไม่ขยับไปไหน ชาวมอร์แกนวิ่งหน้าตั้งขึ้นเขากันไปแล้ว  เพราะ มีนิทานหรือคำปรัมปราเล่าสู่กันตลอดมาว่า

ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม น้ำลดลงไปมากๆ ให้วิ่งขึ้นเขาไว้ก่อน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง

เมื่อเห็นน้ำลดลงอย่างนั้น ชาวมอร์แกนจึงวิ่งขึ้นเขากัน  คนที่ไปเที่ยวในหมู่บ้านของชาวมอร์แกนในขณะนั้น ก็รอดตายไปด้วย รู้สึกว่าเป็นดาราของไทยรวมอยู่ด้วยคนหนึ่ง

นั่นก็แสดงว่า ชาวมอร์แกนรุ่นก่อนๆ เขาก็มีการสังเกต การสัมภาษณ์และการจดบันทึกเหมือนกัน แต่ไม่ได้จดแบบนักวิทยาศาสตร์เท่านั้นแหละ

เขาจดกันเป็นเรื่องเล่า (myth) เป็นนิทาน  เป็นองค์ความรู้มุขปาฐะ ซึ่งไม่ว่าชนชาติไหนก็มีกันทั้งสิ้น

การที่คนไทยยุคก่อนๆ สร้างบ้านใต้ถุนสูงก็เกิดจากการสังเกต การจดบันทึกแบบปากเปล่า เล่าต่อกันมา

จึงไม่โง่เหมือนหมู่บ้านจัดสรรในกรุงเทพฯ บางหมู่บ้าน ซึ่งรู้ก็รู้ว่า พื้นอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำอยู่แล้ว ยังปลูกบ้านชั้นเดียวติดพื้น ทั้งๆ ที่ถ้าใส่เสาให้ซะหน่อย ก็ไม่เปลืองอะไรนักหนา

ในคราวหนึ่ง จึงมีข่าวว่า คันกันน้ำพัง น้ำท่วมทั้งหมู่บ้านเดือดร้อนกันไปทั่ว  ผมเชื่อว่าในอนาคตก็คงจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก

ในเมื่อการตั้งสมมุติฐาน การสังเกต การสัมภาษณ์ การทดลอง ฯลฯ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำให้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป แล้วสิ่งนั้นคืออะไร

คำตอบ
ปลอดค่านิยม (Value free) คือ คำตอบสุดท้ายครับ

การที่วิทยาศาสตร์เก่าได้รับความนิยมมากๆ ก็คือ การโฆษณาว่า การศึกษาด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้เอาตัวตนของนักวิทยาศาสตร์เข้าไปปะปนด้วยเลย เป็นการศึกษาด้วยความเป็นกลาง ปราศจากอคติ

แต่ในปัจจุบัน นักฟิสิกส์ใหม่ยืนยันแล้วครับว่า เป็นไปไม่ได้

ทั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ทฤษฎีอะตอมของนีล บอร์ (Neils Bohr) กลศาสตร์ควอนตัม (Quantum mechanic) ของมักซ์ พลังค์ (Max Plank) และทฤษฎีความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก ต่างก็ยืนยันว่า ในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ตัวผู้ศึกษามีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งครับ ตัดออกไม่ได้

ตรงนี้ขอพูดอย่างนักภาษาศาสตร์หน่อยครับ  การที่จะศึกษาสิ่งใดแบบ ปลอดค่านิยม (Value free) หรือไม่ลำเอียงนั้น อาจจะเป็นไปได้ ถ้าศึกษาแล้วเก็บเงียบไม่บอกใคร

แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ถ้านักวิทยาศาสตร์จะสื่อสารสิ่งที่ค้นพบออกไปด้วยภาษา ไม่ว่าจะเขียนออกไป หรือพูดออกไป จะต้องมีความลำเอียงเกิดขึ้นทันที เพราะว่า ภาษามันลำเอียงมาตั้งแต่แรกแล้ว

ด้วยหลักการดังกล่าว เมื่อฮุสเซิร์ลเสนอทฤษฎีปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology theory) จึงเสนอแต่เพียงว่า ให้วงเล็บความรู้เดิมไว้ เพราะ รู้อยู่แล้วว่า ตัดออกไปไม่ได้ ใครจะวงเล็บได้มากแค่ไหน ค่อยว่ากันอีกเรื่อง

จากที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น จะเห็นว่า พุทธวิชาการในยุคสมัยใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2398 เป็นต้นมา ศึกษาศาสนาพุทธโดยนำวิทยาศาสตร์เข้ามาปะปน นำปรัชญาเข้ามาปะปน

ตัดเอาสิ่งที่ไม่มีเหตุผลออกไป จนทำให้พระไตรปิฎกได้รับการตีความอย่างผิดพลาด ก็ผิด หลักการปลอดค่านิยม (Value free)  ผลของการศึกษาจึงไม่ตรงตามความเป็นจริง

นอกจากจะผิดหลักการ ปลอดค่านิยม (Value free) แล้ว ยังผิดหลักการของตรรกวิทยาอีกด้วย

ถ้าศึกษาให้ดี อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วจะเห็นว่า พุทธวิชาการเหล่านั้น ไม่เคยนำผลการปฏิบัติธรรมของพระปฏิบัติทั้งหลายเข้ามาเขียนในงานวิชาการของ ตนเองเลย

ตัดของสำคัญทิ้งไปหมด เพราะหลักการของทางศาสนาพุทธนั้นต้องศึกษาปริยัติพอสมควร นำไปปฏิบัติ จึงจะเกิดผลปฏิเวธ

การทำอย่างนี้ ทางตรรกวิทยาเรียกว่า เหตุผลวิบัติ (fallacy) เราเรียกเหตุผลวิบัติแบบนี้ว่า อ้างลำเอียง (card staking)

ผลการศึกษาของพุทธวิชาการดังกล่าว จึงทำให้ศาสนาผิดเพี้ยนไปหมด คนที่มีการศึกษาส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า นรกสวรรค์มีจริงๆ บาปบุญไม่มี การเวียนว่ายตายเกิดไม่มี คนเกิดมาชาติเดียว

ผลของการตีความศาสนาพุทธอย่างผิดพลาดของพุทธวิชาการดังกล่าว จึงส่งผลต่อคุณธรรมจริยธรรมของคนไทย  ประเทศไทยจึงมีเกียรติติดอันดับต้นๆ ของประเทศที่มีการคอร์รับชั่นของโลก

จากที่ผมกล่าวไปนั้น  งานการศึกษาของพุทธวิชาการจำนวนมหาศาลนั้น ก็คือผลของการศึกษาที่ผิดๆ แล้วจะทำอย่างไรดีกับขยะของการศึกษาที่ผิดๆ เหล่านั้น

ในความเห็นของผมนะครับ งานวิจัย หนังสือ ฯลฯ ต่างๆ เหล่านั้น ไม่ควรเผาทิ้งครับ เพราะ จะทำให้เพิ่มปัญหาโลกร้อนขึ้นไปอีก

ถมที่ดีที่สุดครับ  ควรจะเอาออกมาจากห้องสมุดให้เกือบหมด เหลือไว้ศึกษาบ้างว่า เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้อย่างไร นอกนั้นทั้งหมด ถมที่ครับ เหมาะที่สุด...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น