บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

พระไตรปิฎก


ในบทความชุดนี้ ผมเขียนไว้ว่า ผมจะเสนอวิธีพิสูจน์ว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง โดยมีวิธีพิสูจน์ 5 ประการ ดังนี้

1) หลักการพิสูจน์ผิดของคาร์ล ปอปเปอร์
2) หลักการของความน่าจะเป็น
3) พิสูจน์โดยทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์
4) หลักฐานจากพระไตรปิฎก
5) วิชาธรรมกาย

ผมได้นำเสนอไปแล้วตั้งแต่ข้อที่ 1 ถึง ข้อที่ 3   วันนี้จะมากล่าวถึงการพิสูจน์ว่า การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงในพระไตรปิฎก

ในการพิสูจน์ว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริงใน 3 ข้อที่ผ่านมาข้างต้นนั้น  ผมพยายามอธิบายเน้นไปที่การโค่นล้มความเชื่อวิทยาศาสตร์แบบนิวตันที่พุทธวิชาการไปหลงเชื่อกัน  ในการอธิบายจึงเน้นไปที่เรื่องนรก-สวรรค์ เพราะ อธิบายง่าย

ในพระไตรปิฎกนั้น  มีพุทธพจน์เป็นจำนวนมากมายหลายแห่ง ทั้งพระสูตรและพระวินัยได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า มีนรก มีสวรรค์ มีพรหม อรูปพรหม  ไตรภูมิพระร่วงก็เรียบเรียงมาจากคัมภีร์ของศาสนาพุทธ ก็ยึดพระไตรปิฎกเป็นหลัก

ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสอยู่เสมอว่า พระองค์ตรัสแต่ความจริงที่เป็นประโยชน์ ในเมื่อพระองค์ตรัสว่า นรก สวรรค์มีจริง นรกสวรรค์ก็ต้องมีจริงๆ ตามพุทธพจน์ 

พวกพุทธวิชาการที่กล่าวว่า นรกสวรรค์ไม่มีจริง มีไว้เป็นเพียงนโยบายให้คนกระทำความดีเท่านั้น  ก็เป็นการกล่าวตู่พระพุทธพจน์ เพราะไปเชื่อวิทยาศาสตร์เก่ามากกว่า

อย่างไรก็ดี  เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดนั้น ในพระไตรปิฎกก็ยังมีข้อความที่บ่งบอกชัดเจนว่ามี และมีอยู่ประเด็นที่สำคัญด้วย คือ อยู่ในวิชชา 3
พระอรหันต์ รวมถึงพระพุทธเจ้าทั้งปวงบรรลุพระอรหันต์ด้วยวิชชา 3 นี้ทุกพระองค์ ไม่มีพระอรหันต์รูปใดที่ไม่ผ่านวิชชา 3

พระไตรปิฎกเขียนไว้ ดังนี้

ทรงบรรลุวิชชา (ญาณ) 3

"เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อ "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ"

เรานั้นย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ เรานั้นย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุทเทส  ด้วยประการฉะนี้.

ราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่ 1 ที่ เราได้บรรลุแล้ว ในปฐมยามแห่งราตรี. อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมภาพผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่.

เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อ "จุตูปปาตญาณ" รู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย

เรานั้นย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพพจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ด้วยประการฉะนี้.

ราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่ 2 ที่เราได้บรรลุแล้ว ในมัชฌิมยามแห่งราตรี. อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่เราผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่.

เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ได้โน้มน้อมจิตไปเพื่อ "อาสวักขยญาณ" ได้รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ เหล่านี้อาสวสมุทัย เหล่านี้อาสวนิโรธ เหล่านี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา.

เมื่อเรานั้นรู้เห็นอย่างนี้ จิตก็หลุดพ้นแล้ว แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่ 3 ที่อาตมภาพได้บรรลุแล้ว ในปัจฉิมยามแห่งราตรี.  อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืดถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่เราผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่.

ราชกุมาร เรานั้นได้มีความคิดเห็นว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้ เป็นธรรมลึก ยากที่จะเห็นได้ สัตว์อื่นจะตรัสรู้ตามได้ยาก เป็นธรรมสงบระงับ ประณีต อันบัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง.  (ม.ม.13/755-757/686-688)

ข้อความที่ผมเน้นสีแดงไว้คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม

ตรงนี้มีประเด็นที่น่าสังเกตก็คือ พวกพุทธวิชาการที่เชื่อไปตามวิทยาศาสตร์เก่า และมีงานวิชาการออกมามากมาย ซึ่งเขียนไปในทำนองว่า คนเราตายแล้วเกิดชาติเดียว นรก สวรรค์ไม่มี บาปบุญไม่มี อิทธิปาฏิหาริย์ไม่มี

การเวียนว่ายตายเกิดไม่มี คนเกิดมาแล้วตายไปตามอุบัติการณ์ทางธรรมชาติ ไม่มีการเกิดใหม่ เพื่อชดใช้หนี้กรรม

พอฟิสิกส์ใหม่โค่นวิทยาศาสตร์เก่าไปแล้ว มีนักวิชาการรุ่นใหม่ๆ มาเขียนเปรียบเทียบศาสนาพุทธกับไอน์สไตน์บ้าง นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ บ้าง  กลุ่มพุทธวิชาการที่เชื่อวิทยาศาสตร์กลับเก็บตัวเงียบ ไม่มีผลงานใหม่ๆ ออกมาเลย

ถ้าจะมีอยู่บ้าง ก็พูดถึงไอน์สไตน์เพราะเรื่องแสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง แต่ไม่กล้าพูดถึงเรื่องเวลาของไอน์สไตน์ เพราะจะไปสนับสนุนเรื่องนรกสวรรค์ หรือเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดที่ตนเองปฏิเสธไปแล้วทั้งชีวิต พุทธวิชาการที่ว่านี้ มีทั้งพระและฆราวาส ลองค้นหาอ่านดู

ตายไปแล้วก็จะพบว่า “นรกมีจริง” เพราะตกไปอยู่ที่นั่น  แล้วก็คงจะรู้ด้วยตนเองว่า สวรรค์ก็น่าจะมีจริง แต่ไม่มีโอกาสได้ขึ้นเท่านั้น...........



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น